นักวางเพลิงจุดไฟเผารถไฟใต้ดินของเกาหลีใต้

เกาะฮาชิมะ

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญและเป็นคดีการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ของเกาหลีใต้ เหตุการณ์นี้มีคนตายพร้อมกันร่วมสองร้อยชีวิตด้วยสาเหตุมาจากการกระทำของคนคนเดียวในเวลาไม่กี่นาที และสิ่งสุดท้ายที่คนตายทิ้งไว้ก็เป็นข้อความชุดใหญ่ที่ส่งไปรอให้คนที่ได้รับเปิดอ่าน

รูปภาพ

เช้าวันนึงที่เกาหลีใต้ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2003 มีผู้ชายคนนึงเดินทางจะไปขึ้นรถไฟใต้ดินสายที่จะไปลงสถานีใจกลางเมืองแทกู ชายคนนี้ได้ขึ้นรถไฟขบวนเวลาประมาณเก้าโมงกว่า โดยที่ผู้โดยสารคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าชายคนนี้กำลังจะก่อเหตุสังหารหมู่ รถไฟขบวนนี้คือขบวนหมายเลข 1079 เดินทางมุ่งหน้าไปยังสถานีจางกาโน ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ใจกลางเมืองแทกู และเพราะคนส่วนใหญ่ที่ทำงานบริษัทจะขึ้นขบวนที่เช้ากว่านี้ ขบวนนี้เลยมีแต่พวกพนักงานวัยหนุ่มสาวที่ทำงานที่ร้านค้าห้างสรรพสินค้าที่เปิดช่วงสิบโมง เด็กนักเรียน คนแก่ ฯลฯ เวลา 09.53 น. รถไฟก็จอดที่สถานีปลายทาง และชายคนนี้ก็หยิบเอาแกลลอนนมบรรจุสารเคมีไวไฟ (เป็นทินเนอร์กับน้ำมันเบนซิน) ออกมาจากเป้ก่อนจะจุดไฟแช็กจ่อ ผู้โดยสารคนอื่นที่เห็นเลยรีบเข้าแย่งไฟแช็ก เกิดการต่อสู้กัน แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าสารเคมีมันหกลงพื้นและเริ่มติดไฟ

รูปภาพ

ไฟเริ่มติดและลามอย่างเร็ว เร็วแบบสองนาทีลามไปครบตู้รถไฟที่มีหกตู้ คนก็หนีรีบวิ่งหนีตายกัน สัญญาณตรวจจับควันก็ทำงานทันที แต่เจ้าหน้าที่ที่ควรจะอยู่ดูสัญญาณก็ดันหายไปไหนไม่รู้ในขณะนั้น เลยไม่มีการแจ้งขบวนถัดไปที่กำลังจะออกตามมา รถไฟขบวน 1080 ตามมาแบบที่ไม่รู้เรื่อง พอรถไฟขบวน 1080 มาจอดข้างขบวนที่กำลังไฟไหม้ ประตูรถก็เปิดออกแต่คนขับก็รีบปิดเพราะกลัวควันเข้ามารมผู้โดยสาร พอจะเอารถไฟขับหนีไปจากตรงนั้นก็ดันทำไม่ได้เพราะระบบโดนตัดเนื่องจากไฟไหม้ คนขับก็บอกให้ผู้โดยสารอยู่กันอย่างสงบ แล้วพยายามติดต่อขอความช่วยเหลือ เขาได้รับการตอบกลับว่าให้ออกมาจากพื้นที่ตรงนั้นด่วนเลย และสิ่งที่เขาทำคือการทิ้งรถไฟแล้วหนีออกมาตัวคนเดียว โดยที่ผู้โดยสารยังติดอยู่ในรถไฟทั้งขบวน เปิดประตูออกมาไม่ได้ ทุกคนคือติดอยู่ในนั้นรอความตายอย่างเดียว ส่วนคนที่หนีออกจากขบวนก่อนหน้านี้ก็โชคร้ายไม่ต่างกัน

รูปภาพ

รูปภาพ

มาดูกันก่อนว่าระบบของรถไฟใต้ดินสายนี้เป็นยังไงบ้าง อย่างแรกคือสถานีรถไฟใต้ดินนี้แบ่งเป็นสามช่วงลึกลงไป ชั้นบนสุดคือส่วนของร้านค้า ช่วงกลางคือแผนกควบคุมดูแลรถไฟ และช่วงลึกสุดนี่แหละคือส่วนที่รถไฟวิ่ง ที่น่ากลัวก็คือระบบความปลอดภัยที่กลายเป็นกับดักของผู้โดยสารซะเอง ด้วยความที่ยุคนึงเกาหลีมีการเจริญก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด การสร้างบ้านเมืองเลยขาดดีเทลสำคัญหลายอย่าง รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ถูกละเลย ระบบความปลอดภัยของรถไฟใต้ดินในเรื่องนี้ก็คือไม่โอเคอย่างมาก ทั้งรถไฟทำมาจากวัสดุไวไฟทั่วทั้งคันและระบบดับเพลิงที่มีไม่ทั่วถึง ที่ตลกร้ายและน่าเศร้ามากๆ ก็คือทั้งสามชั้นของสถานีมีทั้งระบบตรวจจับควัน สัญญาณไฟไหม้ แต่ชั้นที่เกิดเรื่องดันไม่มีทั้งสัญญาณไฟไหม้และสปริงเกอร์ดับเพลิง แถมยังมีประตูที่จะปิดกันไฟไม่ให้ลามไปชั้นบนด้วย แต่มันดันกลายมาเป็นกับดักขังผู้โดยสารทุกคนที่วิ่งหนีตายให้หมดทางหนี ไม่นานทุกคนก็สำลักควันและสารเคมีที่อัดแน่นในนั้นจนเสียชีวิต ควันก็ลอยออกมาจนคนข้างนอกรู้ได้ว่ามีไฟไหม้รุนแรงที่ใต้ดิน อุณหภูมิในชั้นที่เกิดเรื่องก็คือสูงถึง 1,000 องศาเซลเซียส จนเพดานสถานีหลุดร่อน ไฟก็ไหม้อยู่แบบนี้นานสามชั่วโมง แต่พอดับแล้วเจ้าหน้าที่ก็ยังเข้าไปไม่ได้อยู่ดี เพราะมีควันและสารเคมีค้างอยู่อัดแน่นสุดๆ จนเวลาประมาณบ่ายสามถึงเข้าไปในสถานีรถไฟได้ และภาพที่เจ้าหน้าที่เห็นก็คือความสยดสยอง ศพของผู้คนจำนวนมากอยู่ในสภาพที่ดูไม่ออกแล้วว่าเป็นใคร ศพบางคนคือไหม้จนแทบไม่เหลือศพแล้ว และรถไฟก็คือกลายสภาพเป็นซากรถไฟเกรียมๆ เหตุการณ์ครั้งนี้ก็มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 192 คน บาดเจ็บอีกร้อยกว่าคน (จำนวนผู้เสียชีวิตเป็นการนับจากที่พบศพ แต่ศพที่โดนเผาจนไม่เหลือก็คือไม่รู้) การระบุตัวตนศพก็คือต้องพึ่งการตรวจดีเอ็นเอและขอประวัติจากเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากตอนเกิดเรื่องมีข้อความจำนวนมากถูกส่งออกไป ข้อความจำนวนมากถูกส่งออกไปโดยผู้โดยสารที่โดนขังอยู่ในรถไฟขบวนหมายเลข 1080 เพราะทุกคนรู้แล้วว่าตัวเองจะไม่รอดชีวิต เลยส่งข้อความไปหาคนใกล้ชิดเป็นการบอกลา เช่น ตั้งใจเรียนนะลูก พ่อขอโทษ, เกิดเรื่องแหละ ไม่ต้องรอแล้วนะ, จะรักคุณเสมอ, พรุ่งนี้ชั้นคงไม่อยู่กับเธอแล้ว ฯลฯ

รูปภาพ

หลังจากนั้นก็มีการตามล่าคนขับรถไฟขบวนหมายเลข 1080 ซึ่งคนขับคนนี้มีชื่อว่าชอยซังยอล กว่าจะเจอตัวก็คือผ่านไปครึ่งวัน ทั้งพนักงานรถไฟที่ไม่ดูสัญญาณไฟไหม้จนแจ้งเตือนช้าและนายชอยก็โดนโทษติดคุกกันไปคนละสี่และห้าปี แล้วทีนี้ชายที่เป็นคนวางเพลิงแต่แรกหายไปไหนกันล่ะ ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองก็มีชายคนนึงที่มีแผลไฟไหม้ตามตัวเข้ามาขอความช่วยเหลือ และกลายเป็นว่าเขานี่แหละคือคนวางเพลิงรถไฟ ชายคนนี้มีชื่อว่า คิมแดฮาน อายุ 56 ปี หมอและพยาบาลก็สงสัยเลยทำการแจ้งตำรวจ จนตำรวจสอบสวนและได้รู้สาเหตุของการวางเพลิงครั้งนี้ นายคิมสารภาพว่า เขาทำงานเป็นคนขับแท็กซี่มานานแล้ว จนเมื่อสองปีก่อนเกิดเป็นโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ทำให้เป็นอัมพาตครึ่งตัว เขาก็ทำการรักษาแต่เพราะเขาทำงานไม่ได้แล้วก็เกิดอาการซึมเศร้าและเริ่มหันมาชอบความรุนแรง เขาก็เลยเริ่มต้นวางแผนวางเพลิงในรถไฟใต้ดิน แต่สาเหตุที่วางเพลิงไม่ใช่เพราะว่าเขาชอบความรุนแรงเลยอยากก่อคดีสังหารหมู่คนอื่น แต่เป็นเพราะเขาต้องการที่จะฆ่าตัวตายต่างหาก และที่มาวางเพลิงในรถไฟชั่วโมงเร่งด่วนก็เพราะเขาไม่อยากตายคนเดียว เขากลัวที่จะต้องตายคนเดียวก็เลยตั้งใจมาตายพร้อมกับคนอื่นๆ ทางด้านสังคม คนใกล้ชิดและญาติเหยื่อผู้เสียชีวิตก็ต้องการให้นายคิมได้รับโทษที่สาสม โทษฐานฆ่าคนบริสุทธิ์ไปจำนวนมาก ทุกคนก็คืออยากเห็นนายคิมโดนประหารชีวิต แต่ศาลก็ตัดสินให้นายคิมต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตแทน ซึ่งนายคิมก็ชดใช้กรรมได้ปีเดียวก็เสียชีวิตด้วยโรคแทรกซ้อน

รูปภาพ

สถานีรถไฟแห่งนี้ปิดอยู่ไม่กี่เดือนก็กลับมาเปิดให้ใช้ตามปกติ ทางรัฐบาลก็โดนประชาชนกดดันจนต้องมีการปรับปรุงระบบความปลอดภัยครั้งใหญ่ และอนุสรณ์เหตุการณ์นี้ก็อยู่ในสถานีนี้นี่แหละ มีการกั้นตู้กระจกแสดงให้เห็นสิ่งที่โดนไฟไหม้ในวันนั้นเป็นเครื่องเตือนใจคนที่ผ่านไปมา หลังจากเหตุการณ์นี้ก็มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ความปลอดภัยแห่งเมืองแทกู ประชาชนคนทั่วไปและเด็กๆ ก็สามารถไปเรียนรู้ได้แบบไม่น่าเบื่อว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจะต้องทำยังไง ที่นี่ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของเมืองด้วย